ทำอย่างไรดีถ้าสงสัยว่าพ่อแม่สมองเสื่อม ?
สมองเสื่อมเป็นสิ่งที่ลูก ๆ มักกังวลเมื่อพ่อแม่เข้าสู่วัยสูงอายุ และเมื่อสังเกตจะพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง หรือดูแปลกไปแบบไม่ปกติธรรมดา เช่น อาจลืมบ่อยขึ้น สับสนเมื่อใช้งานเครื่องใช้ที่เคยใช้ประจำ วางของผิดที่ผิดทาง เรียกชื่อสิ่งของไม่ถูก หรือมีอารมณ์บุคลิกเปลี่ยนไป ฯลฯ อาจมีโอกาสเสี่ยงสมองเสื่อมก็เป็นได้
แล้วควรทำอย่างไรดี
ปรึกษาหารือภายในครอบครัว พูดคุยถึงข้อสงสัยและช่วยกันสังเกตความเปลี่ยนแปลง จากนั้นพาไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรคและให้การรักษาหากพบภาวะสมองเสื่อม
จดบันทึกการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่สังเกตเห็น ทั้งความจำ พฤติกรรม กิจวัตรประจำวัน หรือความสามารถในการคิดหรือทำสิ่งต่าง ๆ นำบันทึกไปด้วยเมื่อเข้าพบแพทย์
การพาไปพบแพทย์ ปรึกษากับทางโรงพยาบาลว่าควรพาผู้สูงอายุไปตรวจที่แผนกใด สำหรับผู้สูงอายุที่เข้าใจและยอมไปพบแพทย์ได้ง่าย อาจพูดคุยเชิงปรึกษาว่าสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง จากนั้นชวนไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กสมอง
ผู้สูงอายุที่มักปฏิเสธและไม่ชอบการไปพบแพทย์ ปรึกษาทางโรงพยาบาลก่อนว่าจะเข้ารับการตรวจที่แผนกใด อาจชักชวนโดยเลี่ยงการบอกตามตรง เช่น อาจชวนไปตรวจสุขภาพประจำปีเป็นของขวัญ เสนอโปรแกรมตรวจสุขภาพครอบครัว หรือโปรแกรมที่น่าสนใจ เป็นต้น
เมื่อพบแพทย์ควรปรึกษาโดยไม่เล่าในลักษณะตำหนิต่อหน้า เนื่องจากผู้สูงก็พบรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง มีความรู้สึกอับอายและสับสนอยู่แล้ว ลูกหลานอาจยื่นบันทึกให้แพทย์อ่านประกอบการพูดคุย
*การพาพ่อแม่ไปปรึกษาแพทย์มีความสำคัญ เนื่องจากการวินิจฉัยพบภาวะสมองเสื่อมเมื่ออาการยังเพิ่งเริ่มต้น จะได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยชะลออาการให้ช้าลง ผู้สูงอายุดูแลตัวเองได้ยาวนานขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า และลดภาระการดูแลน้อยลงกว่าการปล่อยให้อาการเป็นมากแล้วจึงค่อยพบแพทย์
ปรึกษาหารือภายในครอบครัว พูดคุยถึงข้อสงสัยและช่วยกันสังเกตความเปลี่ยนแปลง จากนั้นพาไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรคและให้การรักษาหากพบภาวะสมองเสื่อม
จดบันทึกการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่สังเกตเห็น ทั้งความจำ พฤติกรรม กิจวัตรประจำวัน หรือความสามารถในการคิดหรือทำสิ่งต่าง ๆ นำบันทึกไปด้วยเมื่อเข้าพบแพทย์
การพาไปพบแพทย์ ปรึกษากับทางโรงพยาบาลว่าควรพาผู้สูงอายุไปตรวจที่แผนกใด สำหรับผู้สูงอายุที่เข้าใจและยอมไปพบแพทย์ได้ง่าย อาจพูดคุยเชิงปรึกษาว่าสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง จากนั้นชวนไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กสมอง
ผู้สูงอายุที่มักปฏิเสธและไม่ชอบการไปพบแพทย์ ปรึกษาทางโรงพยาบาลก่อนว่าจะเข้ารับการตรวจที่แผนกใด อาจชักชวนโดยเลี่ยงการบอกตามตรง เช่น อาจชวนไปตรวจสุขภาพประจำปีเป็นของขวัญ เสนอโปรแกรมตรวจสุขภาพครอบครัว หรือโปรแกรมที่น่าสนใจ เป็นต้น
เมื่อพบแพทย์ควรปรึกษาโดยไม่เล่าในลักษณะตำหนิต่อหน้า เนื่องจากผู้สูงก็พบรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง มีความรู้สึกอับอายและสับสนอยู่แล้ว ลูกหลานอาจยื่นบันทึกให้แพทย์อ่านประกอบการพูดคุย
หากพบว่าเป็นสมองเสื่อม
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อผู้สูงอายุมีภาวะสมองเสื่อม คนในครอบครัวจำเป็นต้องปรับตัว ปรับใจยอมรับ และเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและตัวผู้ป่วย
มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
1. ปรึกษาแพทย์และหาความรู้เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค อาการของโรค และวิธีการรักษา รวมทั้งการดูแลอย่างเหมาะสม ซึ่งการดูแลมีความสำคัญอย่างยิ่ง
2. ปรึกษากันภายในครอบครัว เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ความช่วยเหลือกันในการดูแลผู้ป่วย รวมทั้งการเงิน
3.ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น ช่วยเตือนความจำ ตั้งนาฬิกาปลุก เขียนโน้ตบนกระดาน ติดป้ายบอกวิธีใช้ หรือช่วยบอกเมื่อผู้ป่วยสับสนวิธีการใช้งาน คอยช่วยผู้ป่วยในสิ่งที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำได้ แต่ไม่ควรห้าม ควรอดทน ใจเย็น คอยให้กำลังใจ เป็นผู้ช่วยในการทำสิ่งต่าง ๆ และหากิจกรรมให้ผู้ป่วยทำเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง
3. ดูแลความปลอดภัย เนื่องจากสมองเสื่อมทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาความจำและความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติ ควรดูแลความปลอดภัยและปรับสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะสม เช่น การใช้เตาแก๊ส เครื่องใช้ไฟฟ้า สารเคมี การใช้ยา การขับรถ จัดการเก็บสิ่งกีดขวางทางเดินป้องกันสะดุดหกล้ม แสงไฟสว่างเพียงพอช่วยให้มองเห็นได้ดี เป็นต้น
4. จัดการดูแลด้านการทำนิติกรรมและการเงิน เช่น การวางแผนด้านการเงิน การจัดการทรัพย์สิน การขอเป็นผู้อนุบาล พินัยกรรม รวมทั้งสิทธิและสวัสดิการต่าง ๆ ของผู้ป่วย สิทธิในการลดหย่อนภาษาสำหรับผู้ดูแล เป็นต้น
5. เข้าร่วมกลุ่มผู้ดูแล สอบถามทางโรงพยาบาลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ดูแล หรือเข้าร่วมกลุ่มผู้ดูแลออนไลน์ เช่น สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจและกำลังใจในการดูแลผู้ป่วย
6. นอกจากดูแลผู้ป่วยแล้ว เมื่อมีบทบาทเป็นผู้ดูแลควรดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรง ดูแลสุขภาพใจให้มีความเข้มแข็ง เมื่อรู้สึกเครียดหากิจกรรมผ่อนคลายที่สามารถทำได้ง่าย พักผ่อนให้พอเพียง ระบายความรู้สึก หรือขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ดูแลที่มีประสบการณ์
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อผู้สูงอายุมีภาวะสมองเสื่อม คนในครอบครัวจำเป็นต้องปรับตัว ปรับใจยอมรับ และเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและตัวผู้ป่วย
มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้
1. ปรึกษาแพทย์และหาความรู้เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค อาการของโรค และวิธีการรักษา รวมทั้งการดูแลอย่างเหมาะสม ซึ่งการดูแลมีความสำคัญอย่างยิ่ง
2. ปรึกษากันภายในครอบครัว เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ความช่วยเหลือกันในการดูแลผู้ป่วย รวมทั้งการเงิน
3.ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น ช่วยเตือนความจำ ตั้งนาฬิกาปลุก เขียนโน้ตบนกระดาน ติดป้ายบอกวิธีใช้ หรือช่วยบอกเมื่อผู้ป่วยสับสนวิธีการใช้งาน คอยช่วยผู้ป่วยในสิ่งที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำได้ แต่ไม่ควรห้าม ควรอดทน ใจเย็น คอยให้กำลังใจ เป็นผู้ช่วยในการทำสิ่งต่าง ๆ และหากิจกรรมให้ผู้ป่วยทำเพื่อช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง
3. ดูแลความปลอดภัย เนื่องจากสมองเสื่อมทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาความจำและความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติ ควรดูแลความปลอดภัยและปรับสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะสม เช่น การใช้เตาแก๊ส เครื่องใช้ไฟฟ้า สารเคมี การใช้ยา การขับรถ จัดการเก็บสิ่งกีดขวางทางเดินป้องกันสะดุดหกล้ม แสงไฟสว่างเพียงพอช่วยให้มองเห็นได้ดี เป็นต้น
4. จัดการดูแลด้านการทำนิติกรรมและการเงิน เช่น การวางแผนด้านการเงิน การจัดการทรัพย์สิน การขอเป็นผู้อนุบาล พินัยกรรม รวมทั้งสิทธิและสวัสดิการต่าง ๆ ของผู้ป่วย สิทธิในการลดหย่อนภาษาสำหรับผู้ดูแล เป็นต้น
5. เข้าร่วมกลุ่มผู้ดูแล สอบถามทางโรงพยาบาลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ดูแล หรือเข้าร่วมกลุ่มผู้ดูแลออนไลน์ เช่น สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจและกำลังใจในการดูแลผู้ป่วย
6. นอกจากดูแลผู้ป่วยแล้ว เมื่อมีบทบาทเป็นผู้ดูแลควรดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรง ดูแลสุขภาพใจให้มีความเข้มแข็ง เมื่อรู้สึกเครียดหากิจกรรมผ่อนคลายที่สามารถทำได้ง่าย พักผ่อนให้พอเพียง ระบายความรู้สึก หรือขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ดูแลที่มีประสบการณ์
บทความที่เกี่ยวข้อง