สัญญาณเตือนผู้สูงอายุควรเลิกขับรถ

ผู้สูงอายุมักได้รับการส่งเสริมให้ใส่ใจสุขภาพเลี่ยงการใช้ชีวิตนั่ง ๆ นอน ๆ และช่วยเหลือตนเองให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อคงความสามารถทางร่างกาย และจิตใจ ดูแลตัวเองได้ และที่สำคัญคือการมีอิสระในการใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น
แต่สำหรับการขับรถแล้วการใช้หลักคิดเดียวกันนี้อาจไม่เหมาะนัก
เนื่องจากมีข้อควรพิจารณา 2 ประการคือ ความปลอดภัยของตนเอง และความปลอดภัยของผู้อื่น
การเปลี่ยนแปลงของวัยสูงอายุค่อย ๆ เกิดขึ้น ผู้ที่เคยขับรถมาเป็นเวลานานอาจไม่ทันสังเกตว่าความสามารถในการขับลดน้อยลง หรือไม่ทราบว่าเริ่มมีสัญญาณเตือนบางอย่างแล้ว
แต่สำหรับการขับรถแล้วการใช้หลักคิดเดียวกันนี้อาจไม่เหมาะนัก
เนื่องจากมีข้อควรพิจารณา 2 ประการคือ ความปลอดภัยของตนเอง และความปลอดภัยของผู้อื่น
การเปลี่ยนแปลงของวัยสูงอายุค่อย ๆ เกิดขึ้น ผู้ที่เคยขับรถมาเป็นเวลานานอาจไม่ทันสังเกตว่าความสามารถในการขับลดน้อยลง หรือไม่ทราบว่าเริ่มมีสัญญาณเตือนบางอย่างแล้ว
การขับรถอย่างปลอดภัยบนท้องถนน ร่างกายหลายส่วนทำงานร่วมกัน และต้องพร้อมรับมือกับเหตุการณ์กะทันหันหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน ตั้งแต่การทำงานของสมอง มีสติ สมาธิ รับรู้สิ่งรอบตัวได้ดี มีการตัดสินใจที่ดีและต้องทันท่วงทีด้วยในสถานการณ์ฉุกเฉิน การมองเห็นและการได้ยินชัดเจน การทำงานร่วมกันระหว่างตาและมือเท้าประสานกันได้ดี มือ เท้า แขน ขา คล่องแคล่วไม่ติดขัด มีกล้ามเนื้อ มีกำลังวังชา ไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืดเป็นลม
ถ้าความสามารถด้านใดด้านหนึ่งลดลงหรือมีปัญหาจะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
เนื่องจากวัยที่เพิ่มมากขึ้นร่างกายเสื่อมถอยลงตามเวลา บวกกับการดูแลสุขภาพที่ผ่านมาเป็นต้นเหตุของโรค โรคเหล่านี้ลดทอนความสามารถในการขับรถของผู้สูงอายุ ทำให้การขับรถอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เช่น
- ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม
- มีอาการภาวะสมองเสื่อม ในระยะแรกที่ทั้งตนเองหรือคนใกล้ชิดอาจไม่ทันสังเกต เช่น หลงทาง ลืมเส้นทางที่ใช้ประจำ ตัดสินใจไม่ดี ไม่สังเกตป้ายจราจร หรืออาจลืมวิธีขับรถไปชั่วขณะ
- โรคอัมพฤกษ์ หรือพาร์กินสัน
- โรคลมชัก
- อาการปวดเรื้อรังต่าง ๆ
- ข้อเสื่อม
- เก๊าท์
- โรคหัวใจ
- โรคเบาหวาน
การใช้ยาบางประเภทอาจง่วงซึมหรือมึนศีรษะ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิด อุบัติเหตุ
มาดูกันว่ามีสัญญาณเตือนอะไรบ้างบอกว่าถึงเวลาที่ผู้สูงอายุควรเลิกขับรถ
1. มองไม่ชัด ไม่ได้ยิน
กะระยะผิดพลาด มองป้ายจราจรไม่ชัด ไม่สังเกตเห็นป้ายจราจร มีปัญหาการมองเห็นเมื่อขับรถตอนกลางคืน ไม่ได้ยินเสียงบีบแตรหรือไซเรนจากรถคันอื่น
2. สมองช้า
คิดช้า ตัดสินใจไม่ดี เมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น รถตัดหน้าหรือเบรกกะทันหัน ถึงทางแยกแล้วลังเล สับสนในเรื่องต่าง ๆ ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เหยียบคันเร่งแทนเบรก หลงทาง
3. มีปัญหาทางร่างกาย
แขนขาติดขัด เอี้ยวคอไม่ได้ ปวดมือนิ้วล็อกจับพวงมาลัยไม่ถนัด ปวดขาหรือเท้าเหยียบคันเร่งหรือเบรคไม่สะดวก
4. สภาพจิตใจ
อารมณ์เสียง่ายขึ้น คนรอบข้างอาจบอกว่าขับรถใจร้อนขึ้นกว่าก่อน
5. สถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย
ขับชน เฉี่ยว หรือจวนจะเกิดขึ้นแต่ยังไม่เกิด หรือขับขึ้นฟุตบาท ชนสิ่งของในบ้านบ่อย เช่น ประตู กล่องจดหมาย ถังขยะ ขับออกนอกเลน สภาพรถมีรอยบุบ ขีดข่วนหลายแห่ง ได้รับใบสั่งหรือเจ้าหน้าที่ตักเตือน
การขับรถเป็นความจำเป็นในการใช้ชีวิตสำหรับหลายคนรวมทั้งผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุในปัจจุบันอาจอยู่ลำพัง เนื่องจากสังคมเปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ผู้สูงอายุต้องพึ่งพาตนเองในทุก ๆ ด้าน
มีข้อแนะนำดังนี้
1. ประเมินความสามารถของตนเองตามความเป็นจริง และยอมรับความจริง
2. ควรปรึกษาแพทย์ว่ายังสามารถขับรถได้หรือไม่ โดยแพทย์อาจประเมินการทำงานของร่างกาย การทำงานของสมอง ร่วมกับการมีโรคประจำตัว
3. ดูแลร่างกายให้แข็งแรง หากเจ็บป่วยให้รีบรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะรักษาได้ง่ายลดโอกาสเกิดโรค การเจ็บป่วยรุนแรงแต่ละครั้งมักจะบั่นทอนพละกำลังและสภาพร่างกาย
4. ลดการขับรถด้วยตนเองลง ขอความช่วยเหลือจากลูกหลานให้ช่วยขับในบางครั้ง หรือใช้บริการรถรับจ้าง
5. ค่อย ๆ ปรับมาใช้รถโดยสารสาธารณะ เพื่อฝึกความเคยชิน และมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการเดินทาง
6. จัดระบบการซื้อของกินของใช้ รวบรวมรายการก่อนออกไปซื้อ หรือใช้บริการดิลิเวอรี่
7. เลี่ยงการขับรถทางไกลที่ต้องใช้ทั้งกำลังและความสามารถทั้งทางร่างกายและสมองมาก ทำให้ร่างกายอ่อนล้าได้ง่าย
บทความที่เกี่ยวข้อง











