สมองเสื่อม...ปัญหาของครอบครัว

สมองเสื่อม...ปัญหาของครอบครัว
record_voice_over อ่านให้ฟัง
เรื่องเล่าจากหนังสือ วันวาน ณ ปัจจุบัน โดย สมจิต
พ่อเป็นครูสอนภาษาจีน เมื่อถึงวัยอาวุโส พ่อได้เป็นครูใหญ่ ในโรงเรียนจีน พ่ออยู่ในตำแหน่งครูใหญ่จนอายุ 80 ปี ไม่เกษียณอายุงานเหมือนคนแก่คนอื่นๆ ขณะนี้พ่ออายุ 90 แล้ว เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ลูกได้พาไปตรวจเช็คสมอง คุณหมอลงความเห็นว่าเป็นโรคสมองเสื่อม น้องชายซึ่งอยู่บ้านเดียวกับพ่อ เคยบอกว่าพ่อน่าจะมีอาการสมองเสื่อมมาราว 6 เดือนแล้ว

พ่อแปลกไปไม่เหมือนเดิม

ลูกๆ ไม่ทราบเลยว่าพ่อเริ่มสมองเสื่อม กลับคิดว่าเป็นเรื่องปกติของคนสูงอายุที่จะตื่นเช้าตอนตี 3 อาการอีกอย่างหนึ่ง คือ ปัสสาวะไม่เป็นที่เป็นทาง ลูกก็เข้าใจไปว่าพ่ออายุมากแล้ว ตาคงมองไม่เห็น พ่อเคยกินข้าวเป็นเวลา เมื่อมีอาการของโรคสมองเสื่อม พ่อเริ่มหิวบ่อยมาก คอยรบเร้าให้หุงข้าวให้กินทั้งวัน และมีอาการกังวลเรื่องถ่ายไม่ได้ แต่แม่อยู่กับพ่อทุกวันบอกว่าพ่อถ่ายเป็นปกติ พ่อชอบเดินออกไปซื้อยาเอง เมื่อยังพอเดินไปไหนมาไหนและกลับบ้านเองได้ อาจมีหลงทางบ้างแต่ไม่ได้ไปไกล คนแถวบ้านที่คุ้นเคยกัน ถ้าเห็นพ่อเดินอยู่ก็ช่วยพามาส่งบ้าน พ่อเคยอ่านหนังสือพิมพ์จีน พบว่าร้านขายยาจีนแถวเจริญนครโฆษณว่ามียาดีช่วยให้ถ่ายได้ ก็รบเร้าให้ลูกพาไป หมดเงินไปสามพันบาท ได้ยามา 3 กระปุก แต่พ่อก็ไม่กินยาที่ได้มา

พ่อรบเร้ามากเรื่องถ่ายไม่ได้ ฉันจึงพาพ่อไปหาหมอที่โรงพยาบาล พ่อรู้สึกว่าอาการนี้เป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดที่จะทำให้ตายได้ และเริ่มบ่นเรื่องกลัวตายบ่อยขึ้น แรกๆ ไม่มีใครยอมพาไป เพราะทุกคนเห็นว่าปกติดี พ่อถึงกับร้องไห้ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย พ่อพูดคุยกับน้องชายที่อยู่ด้วยกันทุกวันไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งน้องเริ่มโกรธ และเริ่มทะเลาะกัน พ่อเล่าให้ฟังภายหลังว่า กลัวน้องชายมาก กลัวว่าจะถูกน้องทำร้าย เวลานั้นพ่อแยกแยะไม่ได้แล้ว ว่าเรื่องไหนจะต้องกลัว เรื่องไหนไม่ต้องกลัว

เมื่อพ่อมีอาการแปลกไปจนผิดสังเกต ฉันจึงพาพ่อเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อตรวจสมอง และดูอาการกันอย่างละเอียด คุณหมอที่มาตรวจพ่อมีหลายคน ทั้งหมอด้าน จิตเวช ระบบประสาท ศัลยกรรม อายุรกรรม รวมทั้งเวชศาสตร์ครอบครัว คุณหมอตรวจสแกนสมอง ทดสอบสมอง เจาะเลือด และพบว่าสมองฝ่อไปส่วนหนึ่ง ส่วนที่ฝ่อนั้นมีน้ำมาพยุงไว้ ศัลยแพทย์แนะนำว่าจะเจาะน้ำออกก็ได้ แต่คุณหมออีกท่านหนึ่ง ให้ความเห็นว่า อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย จึงตัดสินใจกันว่าให้ปล่อยไปตามธรรมชาติน่าจะดีกว่า เพราะพ่ออายุมากแล้ว การผ่าตัดน่าจะเสี่ยงอันตรายเกินไป

พ่อถึงกับร้องไห้ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย พ่อพูดคุยกับน้องชายที่อยู่ด้วยกันทุกวันไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งน้องเริ่มโกรธ และเริ่มทะเลาะกัน

พ่อเป็นคนแข็งแรงมาชั่วชีวิต

พ่อเป็นคนแข็งแรงมาก ชอบทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง ไม่ชอบอยู่บ้านเฉยๆ โรงเรียนจีนที่พ่อสอนก็อยู่ใกล้บ้าน เดินทางจากบ้านไปโรงเรียนเพียง 1 กิโลเมตร พ่อเดินไปกลับทุกวันอย่างสบายๆ และถือว่าสบายมากสำหรับคนในวัยเดียวกับพ่อ

พ่อจึงยังทำงานสอนอยู่ได้จนอายุ 80 ปี พ่อดูแลสุขภาพตัวเองอยู่ตลอดเวลา หาความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ และอาหารการกินอยู่เสมอ เพราะเป็นคนมีความรู้ภาษาจีนดีมาก แม้จะรู้ภาษาไทยเพียงอ่านออกเขียนได้ในระดับประถม 4 และพ่อยังใช้ภาษาอังกฤษได้ด้วย ระยะหลังมานี้พ่อกินอาหารมังสวิรัต เมื่อไปตรวจเลือดพบว่าพ่อขาดวิตามิน บี 1 บี 6 และบี 12 ฉันเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการไม่กินเนื้อสัตว์เลยก็เป็นได้ คุณหมอจึงให้กินวิตามินตัวนี้ เพื่อเสริมส่วนที่ขาดไป

เนื่องจากพ่อเป็นคนแข็งแรงมาโดยตลอด พวกเราจำได้ว่าพ่อไม่เคยเจ็บป่วยหนักๆ หรือเข้าโรงพยาบาลเลย จึงชะล่าใจว่าพ่อยังสบายดีอยู่เพียงแต่ทำอะไรแปลกไปบ้าง เพราะอายุมากเท่านั้นเอง เช่น ตอนพาไปตรวจลูกยังแอบบอกคุณหมอว่าช่วยบอกให้พ่อเลิกกังวลเรื่องขับถ่าย คุณหมอตรวจแล้วบอกว่า ถึงจะไม่ถ่ายทุกวันก็ไม่เป็นไร พ่อจำคำนี้ไว้ตลอด จึงเลิกกังวลเรื่องนี้ไป ลูกจะพูดสักเท่าไหร่พ่อก็ไม่เชื่อ แต่หมอพูดคำเดียวพ่อจะเชื่อถืออย่างมาก
พ่อไม่เคยเจ็บป่วยหนัก ๆ หรือเข้าโรงพยาบาลเลย จึงชะล่าใจว่าพ่อยังสบายดีอยู่ เพียงแต่ทำอะไรแปลกไปบ้าง เพราะอายุมากเท่านั้นเอง

คนที่น่าสงสาร คือ แม่

เวลากลางคืนพ่อมักจะไม่หลับไม่นอน ทำให้แม่ไม่ได้นอนไปด้วย แม่ก็อายุมากถึง 85 ปีแล้ว เมื่อนอนไม่ได้ แม่ก็เลยมีปัญหาสุขภาพไปอีกคนหนึ่ง เนื่องจากแม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เข่าก็ไม่ค่อยดี ด้วยวัยขนาดนี้แม่ควรจะได้รับการดูแล และไม่ควรจะต้องดูแลใครอีก เพียงประคองสุขภาพของตัวเองให้ดีก็นับว่าเป็นงานหนักของแม่แล้ว ช่วงแรกๆ ที่พ่อป่วย แม่รับไม่ได้กับอาการผิดปกติต่างๆ ของพ่อ เวลานั้นยังไม่มีใครรู้ว่าพ่อป่วย แม่คิดจะทิ้งพ่อโดยไปเช่าบ้านอยู่กับน้องชาย แล้วจ้างคนอื่นมาดูแลแทน แม้เมื่อรู้แล้วว่าพ่อป่วย แม่ก็ยังไม่เชื่อ เข้าใจไปว่าพ่อทำตัวอย่างนี้เพื่อแกล้งแม่ ไม่เชื่อว่าพ่อความจำเสื่อม เมื่อพ่อไปอยู่เนิร์สเซอรี แม่ไม่ยอมไปเยี่ยม และไม่ยอมให้พ่อมาหาที่บ้านเพราะกลัวว่าพ่อจะตามกลับมาอยู่บ้าน แต่ถ้าวันไหนลูกๆ ไปหาพ่อไม่ได้ แม่ก็จะบ่นว่าทำไมไม่มีใครไปเยี่ยมพ่อ แม่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลพ่อแต่ก็กลัวว่าจะต้องดูแล ถ้ามีญาติหรือคนรู้จัก คนแถวบ้านถามถึงพ่อ แล้วปรารภว่าทำไมให้พ่อไปอยู่ที่อื่น แม่ก็จะรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
เวลากลางคืนพ่อมักจะไม่หลับไม่นอน ทำให้แม่ไม่ได้นอนไปด้วย แม่ก็อายุมากถึง 85 ปีแล้ว เมื่อนอนไม่ได้ แม่ก็เลยมีปัญหาสุขภาพไปอีกคนหนึ่ง

เมื่อต้องอยู่สถานดูแลผู้ป่วย

ฉันพาพ่อไปอยู่เนิร์สเซอรี เนื่องจากเราดูแลเองไม่ได้ ลูกๆ ทุกคนต้องทำงาน ไม่สามารถผลัดกันดูแลพ่อ บ้านฉันเองอยู่ห่างจากบ้านพ่อมาก วันธรรมดาจึงไปดูแลไม่สะดวก มีเวลาเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ฉันเป็นพยาบาลมา 5 ปี ก็ยังไม่สามารถดูแลพ่อไปด้วยทำงานไปด้วยได้ ส่วนแม่ถึงอยู่บ้านเดียวกันก็ดูแลพ่อไม่ไหว เพราะแม่อายุ 85 แล้ว แม่บอกว่าตื่นตี 3 มาหุงข้าวให้พ่อไม่ไหว

ฉันเคยหาแม่บ้านที่รู้จักกันมาก่อน เขามาอยู่ได้วันเดียวก็บอกว่ารู้สึกไม่สบายใจจึงขอลาออก และมาบอกทีหลังด้วยความเกรงใจว่าพ่อเจ้าชู้ ฉันไม่รู้ว่าพ่อเป็นอย่างที่แม่บ้านบอกจริงหรือไม่ เพราะเวลาพ่อมาอยู่บ้านฉัน พ่อเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ ฉันจึงยังไม่ค่อยเชื่อแม่บ้านนัก แต่ก็เริ่มกลัวว่าถ้าให้อยู่บ้านคงไม่ค่อยวางใจ เพราะไม่มีผู้ใหญ่คนอื่นๆ อยู่ในบ้าน เวลานั้นน้องชายก็ยังทำงานอยู่ต่างประเทศ และลางานกลับมาช่วยได้ 2 เดือนเท่านั้น เมื่อน้องชายต้องกลับไปต่างประเทศ และไม่มีคนช่วย ฉันเครียดมาก เพราะพ่อจะขับถ่ายโดยไม่เลือกที่เลือกเวลา เป็นเรื่องลำบากใจอย่างยิ่งของฉัน จึงบอกพ่อไว้ว่าให้บอกก่อน กลางคืนซึ่งเป็นเวลานอนของฉัน พ่อก็ปลุกทั้งคืน บอกว่าจะไปปัสสาวะ จึงหาถังเตรียมไว้ให้ และบอกว่าไม่ต้องไปห้องน้ำ ก็พอจะนอนหลับสบายได้หลายคืน ถึงกลางวันก็ตื่นไปทำงานได้ดีขึ้น การหาเนิร์สเซอรีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เครียดมาก ทั้งปรึกษาคนหลายคน และหาดูหลายแห่ง กว่าจะพบแห่งที่เราพอใจ และตัดสินใจได้ เพราะต้องดูว่าสถานที่ดีไหม เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อคนไข้อย่างไร สถานรับดูแลที่เราเลือกนั้นอยู่ไกลจากบ้านฉันมากทีเดียว แต่เราก็เลือกที่นี่เพราะเห็นว่าดีที่สุดสำหรับพ่อ แม้ว่าฉันจะทำใจไว้แล้ว แต่เมื่อตอนพาพ่อออกจากบ้านจริงๆ ฉันก็น้ำตาตก น้องชายต้องช่วยปลอบใจให้คิดว่าเราทำสิ่งที่ดีที่สุดให้พ่อ ในเมื่อพ่ออยู่บ้านแล้วเราจัดการไม่ได้ ไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่สามารถช่วยได้ ส่วนแม่ก็ไม่ค่อยแข็งแรง สถานพยาบาลจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

เมื่อได้สถานที่รับดูแลแล้วก็ใช่ว่าจะหมดปัญหา หรือปล่อยให้เขาดูแลไปอย่างสบายใจ ช่วงแรกเรายังมีปัญหากับทางเจ้าหน้าที่มาก ฉันรู้สึกผิดที่ต้องให้พ่อไปอยู่ที่อื่น แล้วยังกังวลว่าพ่อจะกินอาหารได้ไหม บางครั้งเจ้าหน้าที่ให้ยาผิด พอเราบอกเขาก็ไม่ค่อยพอใจ ฉันเองคิดว่าเราจำเป็นต้องบอกว่าเขาผิดพลาดตรงไหน และเมื่อเขาผิดพลาด เราก็เริ่มกังวลมาก ขนาดไปเยี่ยมพ่ออาทิตย์ละครั้ง ยังพบว่าผู้ดูแลให้ยาผิดพลาด เพราะฉันจะคอยนับเม็ดยาไว้ว่าพ่อกินไปแล้วกี่เม็ด ควรเหลือยากี่เม็ด จนอดไม่ได้ต้องพูดกับคุณหมอต่อหน้าพยาบาล เพื่ออธิบายว่ายาที่ลืมให้นั้นเป็นขนานสำคัญมากขาดไม่ได้ ตอนหลังฉันค่อยใจเย็นลงไม่กังวล และจ้องจับผิดเขาเหมือนแรกๆ เมื่อไม่มีใครคอยจับผิดเขาก็ไม่ผิดอีก ทำให้สบายใจขึ้นทั้งสองฝ่าย

เราจะผลัดกันไปเยี่ยมพ่อ แต่แม่ไม่กล้าไปเลย กลัวว่าพ่อจะร้องตามกลับบ้าน น้องชายกลับมาอยู่บ้านแล้ว ทำงานอิสระ ไม่ได้ทำงานประจำอย่างฉัน เขาจึงรับภาระมากกว่าฉัน ต้องไปเยี่ยมพ่ออาทิตย์ละ 2 วัน น้องรายงานทางโทรศัพท์บ้าง ทางอีเมลบ้าง ว่าวันนี้พ่อเป็นยังไง ปกติดี หรือมีอาการอะไร แต่ด้วยความที่เรามีคนในครอบครัวน้อย ไม่สามารถจะผลัดกันไปเยี่ยมพ่อได้ทุกวัน วันไหนไม่ไปเยี่ยมก็จะเป็นเรื่องขึ้นมาก หรือไม่พ่อก็จะสั่งให้พยาบาลโทรศัพท์มาถามฉันว่า วันนี้ใครจะมาเยี่ยมพ่อ

ในขณะที่เรารับรู้ว่าพ่อเป็นโรคสมองเสื่อม แต่พ่อยังจำเบอร์โทรศัพท์ และสามารถบอกให้พยาบาลโทรศัพท์มาหาได้ หลายครั้งเจ้าหน้าที่บ่ายเบี่ยงว่าโทรศัพท์เสีย จนพ่อจำได้ว่าเป็นคำตอบเดิมอีกแล้ว ถามว่าโทรศัพท์ซ่อมเสร็จหรือยัง บางครั้งทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าพ่อป่วยจริงๆ หรือ พ่อบอกว่าพ่อปกติดี และเคยบอกว่าอยากกลับบ้าน แต่ไม่ได้รบเร้ามาก บางวันฉันจึงรับพ่อมาอยู่บ้าน เพื่อไม่ให้พ่อเหงาเกินไป
การหาเนิร์สเซอรีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เครียดมาก ทั้งปรึกษาคนหลายคน และหาดูหลายแห่ง กว่าจะพบแห่งที่เราพอใจ และตัดสินใจได้

ลืมคนลืมเวลา

พ่อมีอาการลืมมากขึ้นจนลูกๆ สังเกตเห็น ช่วงที่พ่อถ่ายไม่ออก และกังวลมาก จึงรบเร้าให้พาไปโรงพยาบาล และถึงกับร้องไห้เมื่อลูกบอกว่ายังไม่พาไป และบอกพ่อว่ายังปกติดีอยู่ แต่เมื่อพ่อร้องไห้ เราก็ต้องพาไปทั้งๆ ที่ดูแล้วสุขภาพของพ่อยังเป็นปกติ เพื่อให้สบายใจ ต่อมาอีกสักหนึ่งสัปดาห์ พ่อบ่นถึงอาการเดิมว่าไปหาหมอมาตั้งเดือนแล้วก็ยังไม่หาย พ่อจำไม่ได้ว่าเพิ่งไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง อาการกังวลของพ่อเป็ฯอาการทางสมองด้วยเช่นกัน

พ่อยังพอจำทุกคนได้ ยกเว้นลูกชายคนโต และบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อเอง น่าแปลกมากเพราะ พี่คนโตนี้บ้านอยู่ใกล้กับพ่อ แต่ทำงานต่างประเทศมาตลอดจนแทบไม่ค่อยได้อยู่บ้าน พ่อกลับชมว่าลูกพี่ลูกน้องของพ่อคนนี้ เป็นคนดีมาก แวะมาเยี่ยมพ่อเป็นประจำ แรกๆ ฉันพยายามอธิบายว่า นี่คือลูกชายคนโตของพ่อ ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้อง เมื่อคุณหมอทราบเรื่อง ก็แนะนำว่าอย่าไปถกเถียงกับพ่อ เพราะคนไข้ไม่รับรู้ความจริงแล้ว เราต้องคอยเบี่ยงเบนให้ไปสนใจเรื่องอื่นๆ หรือเออออไปกับพ่อด้วย แต่บางทีเราก็เผลอลืมไป ยังติดการอธิบาย เพราะอยากให้พ่อเข้าใจถูก ต้องตามที่เป็นจริง ลืมไปว่า ความจริงสำหรับพ่อ เป็นอีกอย่างหนึ่งแล้ว

ความจำและความสามารถอื่นๆ ของพ่อค่อยๆ ลดลงไป ความสนใจในสิ่งรอบข้างเริ่มลดลง ยังมีการถามถึงแม่บ้าง แม่ไม่ยอมไปเยี่ยมพ่อ แต่ก็รู้สึกผิด แม่มีความคิดฝังหัวอยู่และไม่เชื่อว่าพ่อเป็นโรคสมองเสื่อม เพราะพ่อก็ดูเหมือนคนปกติทั่วไป แม่พูดกับฉันว่าสมองเสื่อมอะไรกัน ยังจำเบอร์โทรศัพท์บ้านได้ ส่วนหนึ่งแม่โกรธ เพราะคิดว่าพ่อแกล้งทำเพื่อให้แม่ลำบาก ฉันเป็นลูกก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรให้แม่เข้าใจ เป็นความเหนื่อยใจ อีกอย่างหนึ่งนอกจากเหนื่อยกายในการดูแลจัดการเกี่ยวกับพ่อ

นอกจากปัญหาความจำแล้ว ผู้ดูแลพ่อที่สถานพยาบาลยังฟ้องว่า พ่อมีปัญหาเรื่องการเล่นอวัยวะเพศ และมีการจับมือถือแขนเจ้าหน้าที่ผู้หญิง พอฉันถาม พ่อก็หัวเราะบอกว่าไม่ได้ทำ คุณหมออธิบายว่า สมองส่วนที่เสื่อมไป ทำให้พ่อควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงทำเรื่องที่ไม่สมควรทำ เมื่อทราบอย่างนี้ทำให้ฉัน ย้อนนึกไปถึงคำพูดของแม่บ้าน ที่เคยจ้างมาดูแลพ่อที่บ้าน ว่าที่เขาขอลาออกคงเป็นเพราะเหตุนี้จริงๆ

พ่อมีอาการลืมมากขึ้นจนลูก ๆ สังเกตเห็น ความจำและความสามารถอื่นของพ่อค่อย ๆ ลดลงไป ความสนใจในสิ่งรอบข้างเริ่มลดลง

เรื่องเงินๆ ทองๆ ของพ่อ

ฉันเตรียมเงินส่วนหนึ่งไว้ใช้จ่าย ในการรักษาพยาบาลพ่อ ค่าใช้จ่ายสำหรับการอยู่เนิร์สเซอรีก็สูงทีเดียว ฉันเพิ่งมารู้เมื่อตอนพ่อป่วยนี้เอง ว่าพ่อเป็นคนเก็บเงินเก่งมาก แม่บอกว่าในลิ้นชักของพ่อที่ใส่กุญแจไว้นั้น มีเงินเก็บไว้มาก แม่เคยเห็นพ่อซุกเงินเข้าไปตลอดเวลา แต่แม่ไม่เคยแตะต้องของพ่อ พ่อหวงลิ้นชักนี้มาก แต่พอป่วยแล้วพ่อกลับลืมลิ้นชักสุดรักสุดหวงนี้ไป โดยไม่ถามถึงเลย พอได้กุญแจไขลิ้นชักออก พบธนบัตรโบราณเป็นปึก ฉันจึงนำไปฝากธนาคาร เจ้าหน้าที่ธนคารถึงกับขอถ่ายเอกสาร และขอหมายเลขโทรศัพท์สำหรับติดต่อฉัน โดยบอกว่าเผื่อเข้าบัญชีไม่ได้ ก็จะติดต่อกลับมา ฉันยังแปลกใจว่าธนบัตรเก่าใช้ไม่ได้ด้วยหรือ

พ่อเป็นคนหาเงินไว้ดูแลตัวเองยามแก่ ฉันได้ใช้เงินของพ่อเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ถ้าหมดเงินของพ่อแล้ว เราก็จะต้องเป็นคนหาค่าใช้จ่ายสำหรับพ่อ พ่อกังวลมากว่าการอยู่ในสถานรับดูแล จะสิ้นเปลืองเงินทองมาก ฉันได้แต่พูดปลอบใจ ว่าราคาไม่แพง และบอกราคาถูกเข้าไว้ เพื่อให้พ่อสบายใจ

ปัญหาที่ไม่เคยรู้

เมื่อพ่อป่วย ทำให้ฉันได้รู้ถึงปัญหาที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องพบ ตั้งแต่พ่อป่วย ฉันและทุกคนในครอบครัวต้องปรับตัวมาก ชีวิตส่วนตัวที่เคยมีเวลาพักผ่อนหายไปเกือบหมด ต้องดูแลทั้งพ่อและแม่ แต่ละครอบครัวอาจมีปัญหาแตกต่างกัน ปัญหาของครอบครัวฉัน คือ การที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ฉันพบว่านี่คือความลำบากของชีวิตเราทุกคนรวมทั้งพ่อด้วย ฉันเคยคุยกับหลายๆ คน บางครอบครัวโชคดี สามารถซื้อที่ดินผืนใหญ่ปลูกบ้านในรั้วเดียวกัน เวลาพ่อแม่เจ็บป่วย พี่ๆ น้องๆ ก็มาช่วยกันดูแลพ่อแม่ หรือซื้อบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน ก็ไปมาหาสู่ดูแลกันได้ง่าย แต่เนื่องจากครอบครัวเราไม่สามารถมีเงินที่จะซื้อบ้านเพื่อให้อยู่ใกล้กันได้ เมื่อพ่อป่วยการดูแลใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องใหญ่มาก
ตั้งแต่พ่อป่วย ฉันและทุกคนในครอบครัวต้องปรับตัวมาก ชีวิตส่วนตัวที่เคยมีเวลาพักผ่อนหายไปเกือบหมด ต้องดูแลทั้งพ่อและแม่
การงานเอาเวลาในชีวิตของเราไปมากกว่าครึ่ง ฉันทำงานในองค์กรที่ทำประโยชน์เพื่อคนในสังคม มีโอกาส่ช่วยเหลือคนอื่น แต่เมื่อถึงเวลาที่ครอบครัวต้องการ เราดูแลพ่อคนเดียวยังทำไม่ได้ ที่ทำงานเรียกร้องเวลามาก ฉันแทบไม่สามารถจัดการเรื่องเวลาได้ เพราะทำงานอยู่ในระดับบริหาร ต้องอุทิศเวลามากเป็นพิเศษ แล้วยังต้องเสียเวลาเดินทางจากบ้านไปที่ทำงาน การรับพ่อมาดูแลที่บ้านจึงทำให้ลำบากทั้งพ่อและตัวฉันเอง เพราะไม่มีแม่บ้านช่วย ต้องทำเองทุกอย่างทั้งหาอาการ ให้ยา ทำความสะอาด เรื่องอาหารนั้นลำบากที่สุด เพราะฉันไม่ถนัดทำอาหารเลย ส่วนใหญ่แล้วใช้วิธีซื้อกิน นอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่พ่อต้องนอนโรงพยาบาลหรือมีอาการเจ็บป่วย ฉันต้องไปดูแล พาไปพบหมอตามนัด พาไปทำฟัน ที่สำคัญคือต้องพยายามรักษาสุขภาพตัวเองไม่ให้ป่วย มิฉะนั้นจะดูแลพ่อไม่ได้ ช่วงหลังที่พ่อไปอยู่สถานพยาบาลที่รับดูแล ลูกๆ ผลัดกันไปหาพ่อได้ ทำให้ฉันสามารถจัดการเรื่องเวลาของตัวเองได้ดีขึ้น แต่สภาพจิตใจกลับไม่ดีเลย เพราะยังคิดกังวลตลอดเวลาว่าเราควรให้พ่ออยู่บ้านมากกว่า ในยามชีวิตเราปกติดี เราก็ทำงานได้เต็มที่ไม่มีปัญหาใด แต่เมื่อชีวิตเกิดมีปัญหาทำให้เราต้องทบทวนดูว่าที่ทำงานรักเราจริงไหม ใส่ใจบ้างไหมว่าถ้าเรามีปัญหาจะดูแลเราอย่างไร ฉันจึงจำเป็นต้องเตรียมหางานที่เรียกร้อยเวลาน้อยลง เพื่อจะได้มีเวลาดูแลพ่อให้มากขึ้น

ลูกๆ ดูแลพ่อด้วยความเต็มใจเสมอ เท่าที่ผ่านมาก ฉันเองรู้สึกว่า ดูแลพ่อน้อยเกินไปด้วยซ้ำ และอยากให้พ่อได้กลับมาอยู่บ้าน แต่ก็ยังแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ตก เวลานี้สุขภาพตัวเองไม่ค่อยแข็งแรง มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม ดูแลพ่อทั้งวันก็กลายเป็นผู้ป่วยเสียเอง ถ้าได้งานที่ลงตัวเรื่องเวลา และมีคนมาช่วยผ่อนแรงบ้าง พ่อก็จะได้กลับมาอยู่บ้านอย่างอบอุ่น และเป็นสุขใจ
สำหรับฉันการได้อยู่กับครอบครัว น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพ่อ
ฉันจะเป็นชีวิตและจิตใจ ให้เธอจนวันสุดท้าย
พี่สาวของฉัน ฝึกให้เรารู้จักว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง โดยที่เราไม่ต้องไปเรียนรู้จากที่ไหนอีกเลย ...
ด้วยรักของลูก
พ่อแม่มีลูกหลายคน และต้องการพึ่งพาลูกทุกคน การขอความร่วมมือ เมื่อเป็นไปแบบธรรมชาติ ค่อย ๆ ...
บทความอื่นที่น่าสนใจ
สมองเสื่อม สังคมช่วยดูแลได้อย่างไร
หยิบยื่นน้ำใจ ให้ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ...
กินแบบนี้ไม่อ้วนแน่
ตัวอย่างการกินอาหารในแต่ละวันสำหรับผู้ที่ใช้พลังงานแตกต่างกัน
ยืดหยุ่น ใส่ใจ ปลอดภัย ไม่เอาชนะ
ถ้าพบว่าคนในครอบครัวเริ่มมีอาการสมองเสื่อม ควรเตรียมตัวเตรียมใจ ...
อัลไซเมอร์คืออะไร
โรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุของภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด ...
Caregiver Connect
 
© Geriatrics Medicine, Faculty of Medicine Ramathibodi Hospital, Mahidol University. All Rights Reserved.