เรื่องเล่าจากพี่ปิ่นเพชร
เมื่อเราเป็นผู้ดูแลผู้มีภาวะสมองเสื่อม สิ่งที่เราคิดอยู่ในใจเสมอก็คือ เราจะส่งผู้ป่วยไปก่อน บางครั้งเราก็ทุ่มเทให้กับการดูแลจนลืมดูแลกายและใจของตัวเองไป และลืมคิดไปว่า คิวของการขึ้นสวรรค์นั้น ไม่ได้เรียงตามอายุ หรือใครป่วยก่อนจะลาโลกไปก่อน จากการทำงานที่สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม ทำให้ได้พบผู้ดูแลน่ารักหลายท่าน มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นพี่สาวน่ารัก ที่คอยสนับสนุนผู้ดูแลท่านอื่น ๆ เสมอ เธอเคยเล่าถึงการค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงวิธีคิดจากการดูแลคุณแม่ที่เป็นอัลไซเมอร์ และใช้เวลาช่วงที่อยู่ด้วยกันให้มีค่า เพราะพี่เขาจะอยู่ที่ประเทศไทยปีละ 6 เดือนเท่านั้น
แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งผู้เขียนเปิดเฟซบุ๊กยามเช้า เห็นโพสต์แจ้งข่าวการจัดพิธีศพของพี่สาวท่านนี้ที่ต่างประเทศ เราเพิ่งเจอกันที่งานอบรมผู้ดูแลก่อนพี่เขากลับไปไม่กี่เดือน คำถามแรกในหัวคือ แล้วคุณแม่เขาจะอยู่อย่างไรต่อในเมื่อพี่เขาเป็นลูกคนเดียวที่กลับมาดูแล..
ในโอกาสที่เปิดเว็บไซต์ใหม่นี้ ผู้เขียนจึงอยากนำเอาเรื่องเล่าจากพี่สาวท่านนี้ ซึ่งเคยลงได้เว็บไซต์ สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม มาเผยแพร่อีกครั้ง เพื่อแบ่งปันแนวคิดดี ๆ และช่วยกระตุ้นเตือนใจผู้ดูแลทุกท่านให้ใช้ทุกวันที่เหลือกับผู้มีภาวะสมองเสื่อมอย่างมีความสุข เพราะเอาจริง ๆ ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ระหว่างผู้มีภาวะสมองเสื่อมกับเราใครจะไปก่อนกัน...
คุณแม่โปรดปรานตลาดนัดเป็นพิเศษ จะคอยถามทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้งว่า วันนี้มีตลาดนัดไหม เพราะท่านชอบที่จะได้พบปะเจอผู้คนมากมาย ถึงท่านจะจำใครไม่ได้ แต่ก็มีความสุขที่ได้ทักทายเด็ก ๆ หรือคุยทักใครต่อใคร และที่สำคัญคือ การได้ไปนั่งทานโก้โก้ปั่นเจ้าประจำที่ตลาดนัดค่ะ
เมื่อฉันโดนคุณแม่ว๊ากใส่ ฉันก็เผลอแอบฉุนขึ้นมา เพราะเหนื่อยและเพลียจากการเป็นไซนัสอักเสบ รวมทั้งช่วงนี้ต้องดูแลคุณแม่เพียงคนเดียวเนื่องจากพี่เลี้ยงลากลับไปเยี่ยมบ้าน แต่สติหลุดได้ไม่ถึงครึ่งนาที ก็รู้ตัวว่า เอ้า ฉันบ้าไปอีกแล้ว ไปฉุนคุณแม่ทำไมนี่ ไม่ใช่ตัวท่านที่ว๊ากใส่ฉันเสียหน่อย แต่เป็นเจ้าสมองเสื่อมต่างหาก ที่เอาเรื่องฉัน คุณแม่ตัวจริงเป็นคนอ่อนโยน สุภาพ พูดเพราะ รักลูกมาก และไม่เคยดุว่าลูกให้เสียใจช้ำใจแม้แต่น้อยเลย
พอฉันรู้ตัว ก็รีบแปลงร่าง หันมาเสียงหวาน สดชื่น ชวนคุณแม่ไปตลาดนัดด้วยเสียงที่สดใสกระตือรือร้นแทน คุณแม่ที่ตาขวางอยู่ก็เปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วมาก แล้วเราก็ไปเที่ยวตลาดนัดกันกับพี่ข้างบ้านอย่างมีความสุข คุณแม่ก็ทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใสกับคนที่พบพานดั่งเคย
ฉันจำได้ว่า เมื่อกว่าสี่ปีที่แล้ว ก่อนที่ฉันจะเห็นความผิดปกติของคุณแม่ชัดมากขึ้นจนพาไปพบหมอทางสมอง และได้ทำ MRI ทำให้เห็นความฝ่อของสมองของท่านนั้น เราสองแม่ลูกก็ได้หลั่งน้ำตากันเป็นปี๊บ ๆ งอนกัน โกรธกัน จนถึงขึ้นเสียงใส่กัน (ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยทำกันมาก่อน) เพราะตอนนั้นฉันโง่เองที่ไม่รู้จักสมองเสื่อม ฉันจึงรับบุคลิกแปลก ๆ นิสัยแปลก ๆ คำพูดแปลก ๆ ของคุณแม่ไม่ได้ ฉันจึงเผลอโกรธ เสียใจ อาย ต่อต้าน ต่อว่า ตักเตือน เอาเรื่องท่าน รวมไปถึงสั่งสอนท่านอีก บาปกรรมมากจริง ๆ เลย
ฉันมองเห็นความผิดอันใหญ่หลวงของตัวเองมากมาย เสียใจเหลือเกินที่ทำผิดกับคุณแม่ และได้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก แต่ความเป็นจริงนั้น ฉันสัญญาแล้วสัญญาอีก แล้วก็ผิดสัญญาร่ำไป แล้วก็เสียใจน้ำตาร่วงพรูด้วยความรู้สึกผิดที่มากมาย
ฉันต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ เลยทีเดียวในการปรับตัว ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับโรค เข้าอบรมเกี่ยวกับเรื่องสมองเสื่อม ได้พบปะพูดคุยกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเรือลำเดียวกับฉัน และพยายามยอมรับคุณแม่คนที่ต้องอยู่กับโรคนี้ โรคที่ทำให้โลกภายนอกตัดขาดจากคุณแม่เพิ่มมากขึ้นไปทุกวัน โรคที่ทำให้คุณแม่ต้องขัดใจ ขุ่นข้องหมองใจที่ความสามารถต่าง ๆ รวมทั้งความคิดและความจำที่สับสนค่อย ๆ เลือนลางจากไป คุณแม่มีเพียงฉันเท่านั้น ฉันต้องทำได้สิ
ฉันขอเกริ่นเล็กน้อยว่า คุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกัน และคุณพ่อได้บินมารับเราสามพี่น้องไปเรียนหนังสือที่อเมริกาเมื่อ 34 ปีที่แล้ว แล้วเราก็มีครอบครัวอยู่ที่นั่นกันทั้งหมด ฉันเป็นลูกคนเดียวที่ติดคุณแม่มากที่สุด หลังจากที่คุณแม่บินไปเยี่ยมเราไม่ไหวแล้ว ฉันก็บินกลับมาหาคุณแม่มากกว่าลูกคนอื่น ๆ ครั้งสุดท้ายที่ท่านไปเยี่ยมเราที่นู่นก็เมื่อสิบปีที่แล้ว ความที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน ฉันจึงไม่ได้เห็นอาการของโรคสมองเสื่อมที่เปลี่ยนแปลงของคุณแม่ของฉันทุกวัน ๆ เมื่อนาน ๆ พบกันที ความเปลี่ยนแปลงของคุณแม่จึงทำให้ฉันแทบช็อกไปเลยทีเดียว
ณ จุดนี้ ฉันรู้ตัวว่า ตอนนี้ฉันมีวิทยายุทธแก่กล้ากว่าเมื่อก่อนมากนัก ไม่ขาดสติง่าย ๆ มีความรักและความกตัญญูมากขึ้น และเมื่อเผลอสติหลุด สติก็กลับมาไวมากขึ้น ฉันกราบพระเสมอและขอให้ฉันสามารถนำความสุขมาให้คุณแม่ได้มากขึ้น รวมทั้งกราบเท้าขอโทษและขอพระจากคุณแม่ทุกคืน เพราะฉันมีความสุขมากที่เห็นคุณแม่ยิ้มและหัวเราะ ฉันหัดพูดจาตลกโปกฮา ล้อเล่น และแหย่คุณแม่บ่อย ๆ รวมทั้งทำตัวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ไม่ใช่ครูแก่จอมดุที่เอาแต่ออกคำสั่งและบ่น ฉันขอเพียงที่จะได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เหมือนระฆังสวรรค์ของคุณแม่ฉันไปนาน ๆ เพราะคุณแม่เป็นดวงใจของฉัน
จาก ปิ่นเพชร
แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งผู้เขียนเปิดเฟซบุ๊กยามเช้า เห็นโพสต์แจ้งข่าวการจัดพิธีศพของพี่สาวท่านนี้ที่ต่างประเทศ เราเพิ่งเจอกันที่งานอบรมผู้ดูแลก่อนพี่เขากลับไปไม่กี่เดือน คำถามแรกในหัวคือ แล้วคุณแม่เขาจะอยู่อย่างไรต่อในเมื่อพี่เขาเป็นลูกคนเดียวที่กลับมาดูแล..
ในโอกาสที่เปิดเว็บไซต์ใหม่นี้ ผู้เขียนจึงอยากนำเอาเรื่องเล่าจากพี่สาวท่านนี้ ซึ่งเคยลงได้เว็บไซต์ สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม มาเผยแพร่อีกครั้ง เพื่อแบ่งปันแนวคิดดี ๆ และช่วยกระตุ้นเตือนใจผู้ดูแลทุกท่านให้ใช้ทุกวันที่เหลือกับผู้มีภาวะสมองเสื่อมอย่างมีความสุข เพราะเอาจริง ๆ ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่า ระหว่างผู้มีภาวะสมองเสื่อมกับเราใครจะไปก่อนกัน...
เรื่องของพี่ปิ่นเพชร (นามปากกา) มีอยู่ว่า....
เมื่อวานนี้ฉันโดนคุณแม่ว๊ากตะลุ่งตุ้งแช่ใส่ เพราะฉันไปเร่งท่านให้วางของเล่นก่อน เพื่อจะได้รีบไปตลาดนัดหลังซอยก่อนที่จะค่ำ แถมเกรงใจพี่แมวข้างบ้านที่อุตส่าห์แวะมารับก็จะต้องรอนานคุณแม่โปรดปรานตลาดนัดเป็นพิเศษ จะคอยถามทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้งว่า วันนี้มีตลาดนัดไหม เพราะท่านชอบที่จะได้พบปะเจอผู้คนมากมาย ถึงท่านจะจำใครไม่ได้ แต่ก็มีความสุขที่ได้ทักทายเด็ก ๆ หรือคุยทักใครต่อใคร และที่สำคัญคือ การได้ไปนั่งทานโก้โก้ปั่นเจ้าประจำที่ตลาดนัดค่ะ
เมื่อฉันโดนคุณแม่ว๊ากใส่ ฉันก็เผลอแอบฉุนขึ้นมา เพราะเหนื่อยและเพลียจากการเป็นไซนัสอักเสบ รวมทั้งช่วงนี้ต้องดูแลคุณแม่เพียงคนเดียวเนื่องจากพี่เลี้ยงลากลับไปเยี่ยมบ้าน แต่สติหลุดได้ไม่ถึงครึ่งนาที ก็รู้ตัวว่า เอ้า ฉันบ้าไปอีกแล้ว ไปฉุนคุณแม่ทำไมนี่ ไม่ใช่ตัวท่านที่ว๊ากใส่ฉันเสียหน่อย แต่เป็นเจ้าสมองเสื่อมต่างหาก ที่เอาเรื่องฉัน คุณแม่ตัวจริงเป็นคนอ่อนโยน สุภาพ พูดเพราะ รักลูกมาก และไม่เคยดุว่าลูกให้เสียใจช้ำใจแม้แต่น้อยเลย
พอฉันรู้ตัว ก็รีบแปลงร่าง หันมาเสียงหวาน สดชื่น ชวนคุณแม่ไปตลาดนัดด้วยเสียงที่สดใสกระตือรือร้นแทน คุณแม่ที่ตาขวางอยู่ก็เปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วมาก แล้วเราก็ไปเที่ยวตลาดนัดกันกับพี่ข้างบ้านอย่างมีความสุข คุณแม่ก็ทักทาย ยิ้มแย้มแจ่มใสกับคนที่พบพานดั่งเคย
ฉันจำได้ว่า เมื่อกว่าสี่ปีที่แล้ว ก่อนที่ฉันจะเห็นความผิดปกติของคุณแม่ชัดมากขึ้นจนพาไปพบหมอทางสมอง และได้ทำ MRI ทำให้เห็นความฝ่อของสมองของท่านนั้น เราสองแม่ลูกก็ได้หลั่งน้ำตากันเป็นปี๊บ ๆ งอนกัน โกรธกัน จนถึงขึ้นเสียงใส่กัน (ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยทำกันมาก่อน) เพราะตอนนั้นฉันโง่เองที่ไม่รู้จักสมองเสื่อม ฉันจึงรับบุคลิกแปลก ๆ นิสัยแปลก ๆ คำพูดแปลก ๆ ของคุณแม่ไม่ได้ ฉันจึงเผลอโกรธ เสียใจ อาย ต่อต้าน ต่อว่า ตักเตือน เอาเรื่องท่าน รวมไปถึงสั่งสอนท่านอีก บาปกรรมมากจริง ๆ เลย
ฉันมองเห็นความผิดอันใหญ่หลวงของตัวเองมากมาย เสียใจเหลือเกินที่ทำผิดกับคุณแม่ และได้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก แต่ความเป็นจริงนั้น ฉันสัญญาแล้วสัญญาอีก แล้วก็ผิดสัญญาร่ำไป แล้วก็เสียใจน้ำตาร่วงพรูด้วยความรู้สึกผิดที่มากมาย
ฉันต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ เลยทีเดียวในการปรับตัว ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับโรค เข้าอบรมเกี่ยวกับเรื่องสมองเสื่อม ได้พบปะพูดคุยกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเรือลำเดียวกับฉัน และพยายามยอมรับคุณแม่คนที่ต้องอยู่กับโรคนี้ โรคที่ทำให้โลกภายนอกตัดขาดจากคุณแม่เพิ่มมากขึ้นไปทุกวัน โรคที่ทำให้คุณแม่ต้องขัดใจ ขุ่นข้องหมองใจที่ความสามารถต่าง ๆ รวมทั้งความคิดและความจำที่สับสนค่อย ๆ เลือนลางจากไป คุณแม่มีเพียงฉันเท่านั้น ฉันต้องทำได้สิ
ฉันขอเกริ่นเล็กน้อยว่า คุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกัน และคุณพ่อได้บินมารับเราสามพี่น้องไปเรียนหนังสือที่อเมริกาเมื่อ 34 ปีที่แล้ว แล้วเราก็มีครอบครัวอยู่ที่นั่นกันทั้งหมด ฉันเป็นลูกคนเดียวที่ติดคุณแม่มากที่สุด หลังจากที่คุณแม่บินไปเยี่ยมเราไม่ไหวแล้ว ฉันก็บินกลับมาหาคุณแม่มากกว่าลูกคนอื่น ๆ ครั้งสุดท้ายที่ท่านไปเยี่ยมเราที่นู่นก็เมื่อสิบปีที่แล้ว ความที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน ฉันจึงไม่ได้เห็นอาการของโรคสมองเสื่อมที่เปลี่ยนแปลงของคุณแม่ของฉันทุกวัน ๆ เมื่อนาน ๆ พบกันที ความเปลี่ยนแปลงของคุณแม่จึงทำให้ฉันแทบช็อกไปเลยทีเดียว
ณ จุดนี้ ฉันรู้ตัวว่า ตอนนี้ฉันมีวิทยายุทธแก่กล้ากว่าเมื่อก่อนมากนัก ไม่ขาดสติง่าย ๆ มีความรักและความกตัญญูมากขึ้น และเมื่อเผลอสติหลุด สติก็กลับมาไวมากขึ้น ฉันกราบพระเสมอและขอให้ฉันสามารถนำความสุขมาให้คุณแม่ได้มากขึ้น รวมทั้งกราบเท้าขอโทษและขอพระจากคุณแม่ทุกคืน เพราะฉันมีความสุขมากที่เห็นคุณแม่ยิ้มและหัวเราะ ฉันหัดพูดจาตลกโปกฮา ล้อเล่น และแหย่คุณแม่บ่อย ๆ รวมทั้งทำตัวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ ไม่ใช่ครูแก่จอมดุที่เอาแต่ออกคำสั่งและบ่น ฉันขอเพียงที่จะได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เหมือนระฆังสวรรค์ของคุณแม่ฉันไปนาน ๆ เพราะคุณแม่เป็นดวงใจของฉัน
จาก ปิ่นเพชร
บทความที่เกี่ยวข้อง